วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การปกครองสมัยอยุธยา

สมัยอยุธยา ( พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2310 ) การปกครองในสมัยอยุธยาเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจในการปกครองจะอยู่ที่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว เหมือนกับในสมัยสุโขทัย แต่ต่อมา แนวความคิดในการปกครองนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป
ลักษณะทางการเมืองการปกครอง
สมัยอาณาจักรอยุธยาตอนต้น มีการปกครองแบบเดียวกับสมัยสุโขทัย แต่หลังจากที่ไทยสามารถตีนครธมของขอมได้ใน พ.ศ.1974 และกวาดต้อนขุนนางและประชาชนชาวขอมที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของอินเดียเข้ามาในอยุธยาเป็นจำนวนมาก ขุนนางและประชาชนเหล่านี้ได้เอาแนวความคิดในการปกครองของเขมร ที่ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งจากลัทธิพราหมณ์มาใช้ในกรุงศรีอยุธยา คือ แบบเทวราชา หรือ เทวสิทธิ ทำให้แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องเทวราชาเข้ามามีอิทธิพลต่อสังคมไทยมากขึ้น และทำให้สถาบันการปกครองของไทยเปลี่ยนแปลงไป จากการปกครองแบบ "พ่อ" กับ "ลูก" ในสมัยสุโขทัย มาเป็นการปกครองแบบ "นาย" กับ "บ่าว" ทั้งนี้เพราะการปกครองแบบเทวสิทธิ์ถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นเสมือนเจ้าชีวิต เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาด สามารถกำหนดชะตาชีวิตของผู้อยู่ใต้การปกครองได้ และถือว่าอำนาจในการปกครองนั้น พระมหากษัตริย์ทรงได้รับจากสวรรค์ เป็นเทวโองการ การกระทำของพระมหากษัตริย์ถือว่าเป็นความต้องการของพระเจ้า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเสมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง หรือเป็น "สมมุติเทพ" กล่าวคือ เป็นนายของประชาชน และประชาชนเป็นบ่าวของพระมหากษัตริย์ที่จะขัดขืนมิได้โดยเด็ดขาด พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นเจ้าชีวิตของประชาชนทุกคน
กษัตริย์ในสมัยอยุธยาจึงห่างเหินจากประชาชนเป็นอันมาก ซึ่งอาจเรียกการปกครองแบบนี้ว่า "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" คือ พระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว
การปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยามีเป้าหมายเช่นเดียวกับสมัยสุโขทัย คือ ป้องกันการรุกรานของศัตรู รักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม และขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวาง
สำหรับเรื่องการปกครองนั้น เนื่องจากสมัยอยุธยามีระยะเวลายาวนาน และมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและหลักเกณฑ์ในการปกครอง ไม่ได้ใช้รูปแบบเดียวกันตลอดสมัย จึงอาจแบ่งการปกครองในสมัยอยุธยาออกได้เป็น 2 สมัย คือ
1 สมัยอยุธยาตอนต้น ( พ.ศ.1893 - พ.ศ. 1991 ) การปกครองในสมัยอยุธยาตอนตัน เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.1893 ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ซึ่งเป็นผู้สถาปนาอาณาจักรอยุธยา ไปจนกระทั่งถึงสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ใน พ.ศ.1991 การจัดระเบียบการปกครองในสมัยอยุธยาตอนต้น แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1) การปกครองส่วนกลาง พระเจ้าอู่ทองได้ทรงจัดระเบียบการปกครองส่วนกลางเป็นแบบจตุสดมภ์ตามแบบขอม มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อำนวยการปกครองสูงสุด และมีเสนาบดี 4 คน คือ ขุนเมือง (เวียง) ขุนวัง ขุนคลัง และขุนนา เป็นผู้ช่วยดำเนินการเกี่ยวกับกิจการทั้ง 4 คือ

(1) เมือง (เวียง) รับผิดชอบด้านรักษาความสงบและปราบปรามโจรผู้ร้าย

(2) วัง รับผิดชอบเกี่ยวกับราชสำนัก การยุติธรรม และตัดสินคดีความต่าง ๆ

(3) คลัง รับผิดชอบงานด้านคลังมหาสมบัติ การค้า และภาษีต่าง ๆ

(4) นา รับผิดชอบเกี่ยวกับการเกษตรโดยให้ กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และเป็นศูนย์กลางการปกครอง
2) การปกครองหัวเมือง สมัยอยุธยาตอนต้นได้แบ่งการปกครองหัวเมือง ออกเป็นหัวเมือง 3 ประเภท คือ

(1) หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นในประกอบด้วยเมืองหน้าด่านชั้นในสำหรับป้องกันในราชธานี 4 ทิศ คือ ลพบุรี นครนายก พระประแดง และสุพรรณบุรี รวมทั้งหัวเมืองชั้นในเรียงรายตามระยะทางคมนาคม สามารถติดต่อกับราชธานีได้ภายใน 2 วัน เช่น นครพนม สิงห์บุรี ปราจีนบุรี ชลบุรี เพชรบุรี ราชบุรี เป็นต้น

(2) หัวเมืองชั้นนอก หัวเมืองชั้นนอกหรือเมืองพระยามหานคร ได้แก่ เมืองซึ่งอยู่นอกเขตหัวเมืองชั้นใน และอยู่ไกลออกไปตามทิศต่าง ๆ ได้แก่ ทิศตะวันออก เช่น โคราช จันทบุรี ทิศใต้ เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ถลาง ทิศตะวันตก เช่น ตะนาวศรี ทวาย และเชียงกราน เมืองเหล่านี้บางเมืองในสมัยสุโขทัย จัดเป็นเมืองประเทศราช แต่ในสมัยอยุธยาได้เปลี่ยนสภาพมาเป็นหัวเมืองชั้นนอก

(3) หัวเมืองประเทศราช หัวเมืองประเทศราช ได้แก่ เมืองมะละกา ยะโฮร์ ทางแหลมมลายู และกัมพูชาด้านตะวันออก การปกครองส่วนภูมิภาคนอกจากจัดเป็นหัวเมืองต่าง ๆ แล้ว ยังมีการจัดระเบียบการปกครองท้องที่ในหัวเมืองชั้นในอีก โดยแบ่งออกเป็นแขวง แขวงแบ่งออกเป็นตำบล และตำบลแบ่งออกเป็นหมู่บ้าน โดยมีผู้ปกครองตามระดับ คือ หมื่น เป็นบรรดาศักดิ์ของหัวหน้าผู้ปกครองระดับแขวง และพันเป็นบรรดาศักดิ์ของหัวหน้าผู้ปกครองระดับตำบลและหมู่บ้าน
ประชาชนในสมัยอยุธยาตอนต้นมีฐานะเป็นไพร่ ทำหน้าที่ทั้งทางทหาร และหน้าที่ทางพลเรือนพร้อมกันไป เพราะว่าการปกครองในสมัยนั้นยังไม่ใช้ทฤษฎีการแบ่งงาน ประชาชนเป็นไพร่ได้รับที่ดินตามที่ตนและครอบครัวจะทำการเพาะปลูกได้ เมื่อมีผลผลิตเกิดขึ้น ไพร่จะต้องมอบส่วนหนึ่งให้กับขุนวัง หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลที่ดินนั้น ไพร่จะต้องสละเวลาส่วนหนึ่งไปรับใช้ผู้ที่ยอมให้ตนอยู่ในที่ดินของเขา ขุนนางจะเป็นผู้ควบคุมไพร่โดยตรง และมีหน้าที่ระดมกำลังยามศึกสงคราม หรือเกณฑ์แรงงานไปช่วยทำงานสาธารณประโยชน์ ซึ่งเท่ากับว่าประชาชนหรือไพร่ทุกคนต้องรับใช้พระมหากษัตริย์ หรือไพร่มีฐานะเป็นทหารทุกคน
ลักษณะทางเศรษฐกิจในช่วงแรก (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2034)

(1) เกษตรกรรม เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาและหัวเมืองต่างๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงโดยรอบตั้งอยู่บนแม่น้ำสำคัญหลายสาย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง ทำให้เขตราชธานีและอาณาบริเวณโดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสมกับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น การทำนา การปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ เป็นต้น ดังนั้น การปกครองหัวเมืองต่างๆ โดยใช้ระบบจตุสดมภ์ ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) จึงเหมาะสม เพราะเสนาบดีกรมนา (เกษตราธิการ) มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับการทำนาและการเพาะปลูกต่างๆ รวมทั้งการออกโฉนดที่ดินให้กับประชาชนทั่วไปหักร้างถางพงบริเวณที่ดินที่ตนต้องการ โดยเสนาบดีจะดูแลการจัดเก็บภาษีหางข้าวจากประชาชนที่ทำนา เพื่อสะสมรวบรวมไว้เป็นเสบียงหลวงสำหรับใช้ในราชการแผ่นดินต่อไป
สำหรับที่ดินซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับการผลิตทางด้านการเกษตรนั้น ในกฎหมายที่ตราขึ้นใช้ในสมัยอยุธยา ได้ระบุไว้ว่า เมื่อผู้ใดหักร้างถางพงเป็นไร่นาแล้ว ก็ให้ไปแจ้งแก่เจ้าหน้าที่เพื่อจะได้ไปตรวจดูและออกใบโฉนดให้กับผู้นั้นเป็นหลักฐาน สิ่งสำคัญก็คือประมุขสูงสุดของอาณาจักร คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมด จะทรงพระราชทานให้กับผู้ใดก็ได้
สำหรับแรงงานนั้น ได้มีการออกกฎหมายให้ชายฉกรรจ์ทุกคนซึ่งเป็นแรงงานสำคัญ จะต้องไปขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย เพื่อสะดวกในการเกณฑ์แรงงานของทางราชการแผ่นดินในโอกาสต่อไป แรงงานชายฉกรรจ์เหล่านี้ ถ้าไม่ต้องไปสละแรงงานให้กับทางราชการ ก็สามารถดำเนินการประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมและด้านอื่นๆ ของตนได้ แรงงานไพร่นับว่ามีปริมาณมากกว่าแรงงานประเภทอื่น รองลงมาก็คือ แรงงานทาส
ผลิตผลทางการเกษตรที่สำคัญ คือ ข้าว นอกจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยตรงแล้ว ยังมีคนไทยบางพวกบางกลุ่มประกอบอาชีพในการหาของป่า เช่น ไม้ฝาง นอแรด งาช้าง หนังสัตว์ ครั่ง ยางสน กฤษณา น้ำมันสน เป็นต้น ผลิตผลที่ได้จากป่าเหล่านี้ เป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายในกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างยิ่ง ในบางแห่งผลผลิตที่นำมาถวายจัดว่าเป็นเครื่องราชบรรณาการได้


(2) การค้ากับต่างประเทศ ลักษณะทางเศรษฐกิจในสมัยอยุธยาตอนต้นขึ้นอยู่กับการค้ากับต่างประเทศมิใช่น้อย ถึงแม้ว่าในขณะนั้น (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2054) เป็นสมัยที่อยุธยายังมิได้ติดต่อกับประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก การค้าขายกับต่างประเทศจะเป็นการค้าสำเภาทั้งหมด ซึ่งดำเนินการโดยพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และขุนนาง ส่วนพ่อค้าและประชาชนในอยุธยาไม่มีความสามารถที่จะค้าขายโดยเรือสำเภาด้วยตนเองได้ จะมีแต่พ่อค้าจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าสำเภาโดยเฉพาะ
ประชาชนที่มีสินค้าจะฝากไปขายต่างเมืองทางเรือสำเภา จะต้องหา "ผู้เฒ่าผู้แก่" หรือผู้อาวุโสที่น่าเชื่อถือ หรือเพื่อนฝูงมาเป็นพยานในเรื่องการคิดราคาสินค้าที่จะฝากไปกับสำเภา ในสมัยอยุธยาตอนต้นการค้าสำเภาเจริญรุ่งเรืองพอสมควร เพราะมีการเอ่ยถึงการค้าสำเภาไว้ในกฎหมายอยุธยาลักษณะต่างๆ
การค้าขายกับจีน นอกจากจะส่งสินค้าไปขายโดยตรงแล้ว ยังมีการค้าในระบบบรรณาการ คือ การจัดคณะทูตอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีน เพื่อแสดงความอ่อนน้อม จักรพรรดิจีนก็จะมอบของตอบแทนกลับมาเกือบ 2 เท่าของราคาสิ่งของที่นำไปถวาย และทางจีนจะอนุญาตให้ซื้อขายสินค้าได้โดยไม่ต้องเสียภาษีอากรแต่อย่างใด พ่อค้าจึงนิยมค้ากับพ่อค้าจีนในระบบบรรณาการ เพราะได้ประโยชน์และได้รับความสะดวกความปลอดภัยด้วย
ลักษณะทางสังคม
ในสมัยอยุธยา อาจกล่าวได้ว่าเป็นสังคมศักดินา เพราะในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 - พ.ศ.2031) พระองค์ได้ทรงตราพระราชกำหนดศักดินาขึ้นมาใช้อย่างเป็นทางการใน พ.ศ.1997 โดยกำหนดให้บุคคลทุกประเภทในสังคมไทยมีศักดินาด้วยกันทั้งสิ้น นับตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางผู้ใหญ่ ลงไปถึงบรรดาไพร่ ทาส และพระสงฆ์ ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งมิได้ระบุศักดินาเอาไว้ เพราะทรงเป็นเจ้าของศักดินาทั้งปวงนั่นเอง
คำว่า "ศักดินา" หมายถึง การถือเอาศักดิ์ของคนเป็นเกณฑ์แต่อย่างเดียว ทุกคนมีข้อกำหนดศักดินาตามแต่ละบุคคล โดยถือเป็นเครื่องกำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลในสังคม แต่มิได้หมายความว่าศักดินาจะเป็นข้อกำหนดตายตัวเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน ใครมีศักดินาสูงก็ต้องมีสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบสูง ใครมีศักดินาต่ำก็มีสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบต่ำลดหลั่นกันไปตามลำดับ หน่วยที่ใช้ในการกำหนดศักดินา ใช้จำนวนไร่เป็นเกณฑ์
ระบบศักดินาจะอำนวยประโยชน์ในการควบคุมบังคับบัญชาผู้คนตามลำดับชั้นของศักดินา และการมอบหมายให้คนมีหน้าที่รับผิดชอบที่กำหนดไว้ด้วย เมื่อบุคคลทำผิดต่อกันก็สามารถใช้เป็นหลักในการปรับไหมได้ เช่น ผู้ใหญ่ทำผิดต่อผู้น้อยก็ปรับไหมตามศักดินาของผู้ใหญ่ ถ้าผู้น้อยทำผิดต่อผู้ใหญ่ก็ปรับผู้น้อยตามศักดินาของผู้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งพอจะเป็นหลักการในการป้องกันมิให้ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย และมิให้ผู้น้อยละเมิดผู้ใหญ่เช่นกัน
ในสมัยอยุธยา สังคมไทยประกอบด้วยบุคคลประเภทต่าง ๆ ที่สามารถจำแนกออกได้ตามสิทธิ หน้าที่ และศักดิ์ของบุคคลในสังคมดังนี้

1) พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ คือ ประมุขสูงสุดของราชอาณาจักร ทรงได้รับการยกย่องเป็นสมมติเทพ เช่น เป็นพระนารายณ์อวตารบ้าง เป็นประดุจดังพระศิวะบ้าง ซึ่งล้วนแต่เป็นพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ทั้งสิ้น ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในแผ่นดิน ความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ ซึ่งสันนิษฐานว่าไทยรับเอามาจากเขมรอีกต่อหนึ่ง หากผู้ใดขัดขืนพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ จะต้องมีความผิดอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับการละเมิดอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า
ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ได้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใน พ.ศ.1893 แล้ว พระองค์ทรงใช้พระนามว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 และพระราชโอรสของพระองค์ก็ใช้พระนามว่า พระราเมศวร การออกพระนามพระมหากษัตริย์เสมือนหนึ่งพระนามของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ พระนารายณ์ พระศิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคตินิยมที่ถือว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประดุจดังเทพเจ้า การที่อยุธยาในระยะเริ่มแรกรับเอาคตินิยมเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์ว่าเป็นสมมติเทพ จึงทำให้ต้องมีวิธีการและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะทำให้คนนึกว่าพระมหากษัตริย์มีความเป็นเทพเจ้าจริง ๆ


2) พระบรมวงศานุวงศ์ ชนชั้นสูงที่มีฐานะรองลงมาจากพระมหากษัตริย์ ได้แก่ พระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งนี้หมายถึง พระบรมวงศานุวงศ์ของพระมหากษัตริย์ซึ่งครองราชย์อยู่ในขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ บางทีเรียกกันว่า "เจ้านาย" บรรดาเจ้านายในพระราชวงศ์นั้นทรงมีศักดินามาตั้งแต่แรกประสูติทั้งสิ้น ศักดินาของพระราชวงศ์เพิ่มขึ้นและลดลงได้ตามความชอบและความผิดที่มีต่อแผ่นดิน
ในสมัยอยุธยา ภายหลังจากที่ได้มีการตราพระราชกำหนดศักดินาใน พ.ศ.1997 แล้ว ปรากฏว่าบรรดาเจ้านายต่างมีศักดินาทุกพระองค์ เช่น สมเด็จพระอนุชาร่วมสายโลหิตเดียวกันกับองค์พระมหากษัตริย์มีศักดินา 20,000 ไร่ ส่วนพระเจ้าลูกเธอมีศักดินา 15,000 ไร่ แต่ถ้าได้รับสถาปนาเป็นพระมหาอุปราชก็จะดำรงศักดินา 100,000 ไร่ เป็นต้น
บรรดาเจ้านายหรือพระบรมวงศานุวงศ์เหล่านี้ จะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ภาษีอากรของแผ่นดิน ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงพระราชทานให้ ส่วนสิทธิตามกฎหมายของเจ้านายก็คือ จะถูกพิจารณาคดีในศาลใด ๆ ไม่ได้ นอกจากศาลของกรมวัง และจะนำเจ้านายไปขายเป็นทาสไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้กระทำสัญญาซื้อขายเช่นนั้นได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย


3) ขุนนางข้าราชการ ขุนนางและข้าราชการ คือ บุคคลที่รับราชการแผ่นดินสนองพระเดชพระคุณพระมหากษัตริย์ ในสมัยอยุธยา ขุนนางมีฐานะตั้งอยู่บนเกณฑ์ 4 ประการ คือ ศักดินา ยศ ราชทินนาม และตำแหน่ง เช่น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ สมุหนายก ถือศักดินา 10,000ไร่ อธิบายได้ว่าขุนนางผู้นี้มีศักดินา 10,000 ไร่ ยศ คือ เจ้าพระยา ราชทินนาม คือ จักรีศรีองครักษ์ ตำแหน่ง คือ สมุหนายก เป็นต้น
ตำแหน่งขุนนางที่สำคัญ ๆ ในสมัยอยุธยา คือ สมุหพระกลาโหม ถือศักดินา 10,000 ไร่ สมุหนายกถือศักดินา 10,000 ไร่ บรรดาเสนาบดีจตุสดมภ์ก็มีศักดินาคนละ 10,000 ไร่ เช่นกัน ขุนนางนั้นมีธรรมเนียมว่า จะต้องมีศักดินา 400 ไร่ขึ้นไป จึงจะเป็นขุนนางได้ ถ้าศักดินาต่ำกว่า 400 ไร่ แต่ไม่น้อยกว่า 25 ไร่ ก็อาจเป็นข้าราชการได้ แต่ยังไม่ถึงระดับ "ขุนนาง" อย่างไรก็ตาม ขุนนางก็มีโอกาสจะถูกถอดออกจากตำแหน่งได้ ถ้ามีความผิด และบรรดาศักดิ์ของขุนนางมิได้ตกทอดไปถึงลูกหลาน เมื่อตายแล้วก็หมดสิ้นไป หรือบรรดาศักดิ์นี้อาจหมดสิ้นไปในขณะที่ขุนนางยังมีชีวิตอยู่ก็ได้

4) ไพร่ ไพร่ คือ บรรดาราษฎรสามัญชนในความหมายปัจจุบัน ไพร่ต้องมีภาระ คือ การรับใช้ราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ ไพร่จะเป็นชายฉกรรจ์ จะถูกมูลนายเอาชื่อเข้าบัญชีเพื่อเกณฑ์ไปใช้ในราชการต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ไพร่จึงต้องสังกัดอยู่กับเจ้าขุนมูลนายที่ตนสมัครใจอยู่ด้วย การที่ชายฉกรรจ์สามัญชนทุกคนต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย ก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เพราะกฎหมายระบุไว้ว่า ถ้าชายฉกรรจ์ไม่มีสังกัด ก็ไม่มีสิทธิในการศาล และไม่มีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ไพร่ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทตามสังกัด คือ

(1) ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่สังกัดกรมกองต่าง ๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง หน้าที่ของไพร่หลวงจึงแตกต่างกันไปตามแต่หน้าที่ของกรมกองนั้น ไพร่หลวงมี 2 ลักษณะ คือ ประเภทที่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาทำงานที่ทางราชการกำหนด และประเภทที่ต้องเสียเงินหรือสิ่งของมาแทนการเกณฑ์แรงงาน หรือเรียกว่า ไพร่ส่วย ในช่วงแรก ๆ จะมีการส่งของมาแทนการเกณฑ์แรงงาน หรือที่เรียกว่า "การเข้าเวร" แต่ในตอนปลายสมัยอยุธยา ประมาณในช่วงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจะมีการส่งเงินมาแทนการเกณฑ์แรงงานมากขึ้น เงินที่ส่งมาเรียกว่า "เงินค่าราชการ"

(2) ไพร่สม เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่เจ้านายและขุนนางที่มีตำแหน่งทางราชการเพื่อเป็นผลประโยชน์ ไพร่สมจะตกเป็นของมูลนายตราบเท่าที่ขุนนางผู้เป็นมูลนายยังมีชีวิตอยู่ในตำแหน่งราชการ เมื่อมูลนายถึงแก่กรรม ไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง นอกจากบุตรของขุนนางผู้นั้นจะยื่นคำร้องขอควบคุมไพร่สมต่อไปจากบิดา
ไพร่หลวงเป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์และจะต้องถูกเกณฑ์แรงงานไปใช้เป็นเวลา 6 เดือนต่อปี คือ เข้าไปรับราชการ 1 เดือน ออกมาอยู่บ้านของตน 1 เดือน กลับเข้าไปรับราชการอีก 1 เดือน สลับกันไปอย่างนี้ จึงเรียกการถูกเกณฑ์แรงงานในลักษณะนี้ว่า "การเข้าเวร" และ "การออกเวร"
อย่างไรก็ตาม ไพร่สามารถเปลี่ยนฐานะของตนเองได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับสูง คือ ขุนนาง ส่วนระดับต่ำ คือ ทาส แรงงานของไพร่มีประโยชน์ต่อมูลนายทั้งในด้านการเป็นกำลังไพร่พล การเป็นกำลังการผลิต และแรงงานของไพร่ก็เป็นประโยชน์ของทางราชการทั้งการเป็นกำลังพลและกำลังการผลิตเช่นเดียวกัน
ไพร่หลวงจะมีฐานะลำบากที่สุดเมื่อเทียบกับไพร่สม เพราะไพร่สมมีหน้าที่รับใช้แต่เพียงมูลนาย จึงมีความสบายกว่าไพร่หลวง ซึ่งถูกเกณฑ์แรงงานโดยทางราชการ จึงจำเป็นต้องทำงานหนักกว่า


5) ทาส ทาส หมายถึง บุคคลที่มิได้มีกรรมสิทธิ์ในแรงงานและชีวิตของตนเอง แต่กลับตกเป็นของนายจนกว่าจะได้รับการไถ่ตัวให้พ้นจากความเป็นทาส นายมีสิทธิในการซื้อขายทาสได้
ทาสในสมัยอยุธยามี 7 ประเภท คือ

(1) ทาสไถ่มาด้วยทรัพย์ (2) ลูกทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย (3) ทาสที่ได้มาจากข้างฝ่ายบิดามารดา (4) ทาสที่มีผู้ให้ (5) ทาสที่ได้มาด้วยการช่วยเหลือคนต้องโทษทัณฑ์ (6) ทาสที่เลี้ยงดูไว้ในยามเกิดทุกข์และอดอยาก (7) ทาสเชลย
ทาสเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะความยากจน จึงต้องขายตัวลงเป็นทาส ส่วนคนที่มีฐานะดีก็พยายามที่จะมีทาสไว้ใช้สอย
ด้วยเหตุนี้ ทาสจึงเป็นบุคคลที่ต่ำต้อยในสังคม และได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากคนทั่วไปที่เหนือกว่า ขาดความเป็นตัวของตัวเอง และโอกาสที่คนจะขายตัวเป็นทาสก็มีมาก เพราะมีความยากจนเป็นปัจจัยสำคัญนั่นเอง
6) พระสงฆ์ พระสงฆ์ เป็นบุคคลที่สืบทอดพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงได้รับการยกย่องศรัทธาจากบุคคลทุกชนชั้นในสังคม พระสงฆ์จึงเป็นสถาบันหลักของสังคม และเป็นบันไดสำหรับสามัญชนที่จะเปลี่ยนชนชั้นของตน สังคมสงฆ์เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น เพราะชนชั้นสูงอย่างพระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ไพร่ ทาส ก็สามารถจะบวชเป็นพระสงฆ์ได้เช่นกัน พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะทรงเป็นองค์อุปถัมภกพระพุทธศาสนาทุกยุคทุกสมัย นอกจากนี้ วัดได้กลายเป็นศูนย์กลางของสังคม บุคคลที่บวชเรียนก็สามารถหาความรู้ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น สถาบันสงฆ์จึงมีบทบาทในการเชื่อมประสานระหว่างชนชั้นในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข (http://www.parliamentjunior.in.th:17/ ก.ย.51)
2. สมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยอยุธยาตอนปลาย ( พ.ศ.1991 - พ.ศ. 2310 ) การปกครองในสมัยอยุธยาตอนปลาย เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.1991 ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ไปจนถึงเสียกรุงศรีอยุธยา ในพ.ศ.2310 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1991 - พ.ศ.2031 ได้ปฏิรูปการปกครองใหม่ดังนี้
1) การปกครองส่วนกลาง ราชธานี ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง โดยได้แต่งตั้งขุนนางไปปกครองเมืองลูกหลวงและให้ขึ้นต่ออัครมหาเสนาบดี เรียกว่า "เมืองพระยามหานคร" ซึ่งเป็นการรวมอำนาจเข้าส่วนกลางมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีเมืองพระยามหานครอีก 4 เมือง ที่มิได้มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง คือ นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ตะนาวศรี และทวาย พระองค์ได้แต่งตั้งขุนนางไปปกครองเช่นกัน แต่มีฐานะกึ่งอิสระ เพื่อตอบแทนความดีความชอบในการปฏิบัติราชการของขุนนางเหล่านั้น
การจัดระเบียบการปกครองที่ได้พัฒนาขึ้นในสมัยพระบรมไตรโลกนาถอีกประการหนึ่ง คือ การแยกข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือนออกจากกัน เพื่อการแบ่งงานรับผิดชอบอย่างชัดเจน คือ
ฝ่ายทหาร มีพระสมุหกลาโหม หรืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา เป็นหัวหน้า มีหน้าที่บังคับบัญชา และรับผิดชอบในกิจการทหารและการป้องกันประเทศ
ฝ่ายพลเรือน มีพระสมุหนายก หรืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย เป็นหัวหน้า มีหน้าที่บังคับบัญชาและรับผิดชอบกิจการพลเรือน คือ เวียง วัง คลัง นา
ส่วนไพร่ได้รับสิทธิเลือกสังกัดฝ่ายทหารหรือฝ่ายพลเมืองได้ แต่ในยามสงคราม ไพร่ทั้งสองฝ่ายต้องออกรบด้วยกัน
ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยศักดินาขึ้นและใช้มาจนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น "ศักดินา" คือ วิธีการให้เกียรติยศแก่บุคคลตั้งแต่ขุนนาง ข้าราชการ ลงไปจนถึงไพร่และทาส โดยกำหนดจำนวนที่นามากน้อยตามศักดิ์หรือเกียรติยศของบุคคล เช่น ขุนนางชั้นเอก คือ ชั้นเจ้าพระยามีศักดินา 10,000 ไร่ คนธรรมดาสามัญมีศักดินา 25 ไร่ ทาสมีศักดินา 5 ไร่ เป็นต้น
การกำหนดระบบศักดินาขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์ในการกำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน นอกจากนี้ ระบบศักดินายังเกี่ยวพันกับการชำระโทษและปรับไหมในกรณีกระทำผิดอีกด้วย คนที่ถือศักดินาสูง เมื่อทำผิดจะถูกลงโทษหนักกว่าผู้มีศักดินาต่ำ การปรับในศาลหลวง ค่าปรับนั้นก็เอาศักดินาเป็นบรรทัดฐาน
2) การปกครองหัวเมือง พระบรมไตรโลกนาถพยายามจัดการปกครองหัวเมืองเสียใหม่ เพื่อให้ส่วนกลางสามารถคุมหัวเมืองทั้งหลายได้ แต่ก็ปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะการคมนาคมไม่สะดวก คงทำได้สำเร็จเฉพาะหัวเมืองใกล้เคียงหรือหัวเมืองรอบ ๆ เมืองหลวงเท่านั้น
หัวเมืองในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ นอกจากเมืองพระยามหานครที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งขุนนางไปปกครองแล้ว ยังมีหัวเมืองประเทศราช ที่มีเจ้าเมืองของตนเอง แต่ยอมขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา โดยส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายทุกปี หัวเมืองประเทศราชเหล่านี้ มีทั้งใกล้และไกล เช่น เชียงใหม่ เชียงแสน เชียงรุ้ง ยะโฮร์ มะละกา เป็นต้น
ต่อมา ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ปฏิรูปการปกครองหัวเมืองใหม่ โดยยกเลิกเมืองพระยามหานคร และจัดแบ่งเมืองนอกเขตราชธานีออกเป็น 3 ชั้น คือ(1) หัวเมืองชั้นเอก มี 2 เมือง คือ พิษณุโลกและนครศรีธรรมราช(2) หัวเมืองชั้นใน มีหลายเมือง เช่น สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร เพชรบุรี เป็นต้น(3) หัวเมืองชั้นตรี เช่น พิชัย นครสวรรค์ ไชยา พัทลุง เป็นต้น
หัวเมืองแต่ละชั้นยังมีเมืองย่อยอยู่โดยรอบ เรียกเมืองเหล่านี้ว่า เมืองจัตวา การจัดการปกครองหัวเมืองแบบนี้มีมาโดยตลอด และได้ยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ในสมัยอยุธยา นอกจากการค้าขายกับชาติต่าง ๆ ในเอเชียแล้ว ยังมีการค้าขายกับชาวตะวันตกด้วย โดยชาวตะวันตกชาติแรก คือ โปรตุเกส ได้ส่งทูตชื่อ ดูอาร์ต เฟอร์นันเดซ เข้ามาใน พ.ศ.2061 ในสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 โดยได้มีการเซ็นสัญญาอนุญาตให้ชาวโปรตุเกสทำมาค้าขายในดินแดนไทยได้ ต่อจากนั้นก็มีชนชาติอื่น เช่น สเปน อังกฤษ ฮอลันดา ฝรั่งเศส ทยอยกันเข้ามามีสัมพันธ์ทางการค้ากับไทย
โดยปกติ พระมหากษัตริย์ของไทยมักให้การต้อนรับชนต่างชาติเป็นอย่างดี บางครั้งก็มีกองกำลังต่างชาติประจำการเป็นอาสาประจำอาณาจักร โดยเฉพาะในสมัยพระนารายณ์มหาราช ( พ.ศ.2199 - 2231) มีชาวต่างประเทศเข้ามารับราชการในตำแหน่งสำคัญ ๆ หลายคน และมีการแลกเปลี่ยนทูตกับฝรั่งเศสหลายครั้ง หลังจากสมัยพระนารายณ์มหาราชมาแล้ว อิทธิพลของชาวตะวันตกในราชสำนักจึงลดลง เพราะพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาตอนปลายไม่นิยมชาวตะวันตก เพราะระแวงว่าจะเข้ามาหาทางครอบครองเอาชาติไทยเป็นเมืองขึ้น
ลักษณะทางเศรษฐกิจในช่วงที่สอง (พ.ศ. 2034 - พ.ศ. 2310 ) (1) เกษตรกรรม เกษตรกรรมในสมัยอยุธยาช่วงที่สองยังคงดำเนินไปดังเช่นในสมัยอยุธยาช่วงแรก (2) การค้ากับต่างประเทศ ในสมัยอยุธยาช่วงที่สองนี้ สภาวะทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมยังคงดำเนินต่อไป ดังเช่นที่เคยดำเนินมาในช่วงแรก แต่ในเรื่องการค้ากับต่างประเทศได้ขยายตัวมากขึ้น นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 2034 - พ.ศ. 2072) จนถึงสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199 - พ.ศ. 2231)
ในสมัยนี้การค้าทั้งภายในและภายนอกเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะใน พ.ศ. 2054 (สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ) เป็นยุคแรกที่ชาวยุโรปตะวันตกเริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย หลังจากนั้นฮอลันดา อังกฤษ ก็เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยใน พ.ศ. 2142 และ พ.ศ. 2155 ตามลำดับ
พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาโปรดให้ชาวยุโรปตะวันตกเหล่านี้เข้ามาค้าขาย และได้พระราชทานที่ดินให้ตั้งภูมิลำเนาด้วย โดยโปรดให้จัดที่หลวงตั้งห้าง สร้างโรงสินค้าให้เช่า กรุงศรีอยุธยาจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายในแถบนี้ บรรดาพ่อค้าที่เข้ามาติดต่อค้าขายมีทั้งชาวเอเชียและชาวตะวันตก
การที่อยุธยาได้ติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวต่างประเทศ ทั้งที่เป็นชาวเอเชียและชาวยุโรป ทำให้รัฐได้รับประโยชน์จากการค้าเป็นอย่างมาก สินค้าบางชนิดได้กลายเป็นสินค้าผูกขาด เอกชนไม่มีสิทธิซื้อขายเพราะสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าต้องห้าม รัฐจะเป็นผู้ซื้อขายเอง เช่น เครื่องศาสตราวุธ ดีบุก งาช้าง ไม้ฝาง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เลือกซื้อสินค้าจากต่างประเทศก่อนที่จะตกถึงมือพ่อค้าเอกชน ซึ่งการควบคุมการซื้อขายสินค้านี้จะกระทำโดยพระคลังสินค้า สังกัดกรมคลัง และการติดต่อเจรจากับต่างประเทศจะกระทำโดยกรมท่า ซึ่งสังกัดอยู่ในกรมคลังเหมือนกัน ฉะนั้น เสนาบดีกรมคลังจึงมีอำนาจเป็นอย่างมาก
กล่าวโดยสรุป ลักษณะทางเศรษฐกิจในสมัยอยุธยาช่วงแรก (พ.ศ.1893 - พ.ศ.2034) และสมัยอยุธยาช่วงหลัง (พ.ศ. 2034 - พ.ศ. 2310 ) มีความคล้ายคลึงกัน คือ ขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยมีการค้าขายกับต่างประเทศควบคู่ไปด้วย ความแตกต่างของลักษณะเศรษฐกิจในสมัยอยุธยาทั้ง 2 ช่วง อยู่ที่การค้ากับต่างประเทศ เนื่องจากในสมัยอยุธยาช่วงหลัง ได้มีพ่อค้าชาวตะวันตกเข้าติดต่อค้าขายด้วยเป็นอันมาก ต่างกับสมัยอยุธยาช่วงแรก ซึ่งมีแต่พ่อค้าทางแถบเอเชียและเพื่อนบ้านใกล้เคียงเท่านั้น ดังนั้น เมื่อการค้าของไทยได้ขยายตัวออกไปถึงขั้นค้าขายติดต่อกับพ่อค้าชาวตะวันตก นอกเหนือไปจากพ่อค้าทางแถบเอเชียด้วยกันแล้ว ก็ย่อมจะทำให้พระคลังสินค้าของไทยซึ่งมีการผูกขาดการค้าอยู่แล้วประสบผลกำไรอย่างมหาศาล ทำให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยทั่วไปอีกด้วย

แบบทดสอบหลังเรียน

1 ความคิดเห็น:

  1. คุณกำลังมองหา บริษัท เงินกู้ทางการเงินที่แท้จริงเพื่อจัดหาเงินกู้ 10,000 ยูโรถึง 10,000,000 ยูโร (สำหรับสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์หรือธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลสินเชื่อส่วนบุคคลสินเชื่อจำนองสินเชื่อรถยนต์สินเชื่อรวมหนี้เงินกู้ร่วมทุนสินเชื่อเพื่อสุขภาพเป็นต้น ))
    หรือเขาถูกปฏิเสธเงินกู้จากธนาคารหรือสถาบันการเงินไม่ว่าด้วยเหตุผลใด?
    สมัครตอนนี้และรับเงินกู้ทางการเงินที่แท้จริง ดำเนินการและอนุมัติใน 3 วัน
    PACIFIC FINANCIAL LOAN FIRM เราเป็นผู้ให้กู้เงินกู้ระหว่างประเทศที่ให้บริการทางการเงินที่แท้จริงแก่บุคคลและ บริษัท ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 2% พร้อมบัตรประจำตัวที่ถูกต้องหรือหนังสือเดินทางระหว่างประเทศของประเทศของคุณเพื่อการตรวจสอบการชำระคืนเงินกู้เริ่มต้นที่ 1 (หนึ่ง) ปีหลังจากนั้น ได้รับเงินกู้และระยะเวลาชำระคืนคือ 3 ถึง 35 ปี

    สำหรับการตอบกลับในทันทีและดำเนินการกับใบสมัครของคุณสำหรับชายแดนภายใน 2 วันทำการ
    ติดต่อเราโดยตรงทางอีเมลนี้: pacificfinancialloanfirm@gmail.com

    ติดต่อเราด้วยข้อมูลต่อไปนี้:

    ชื่อเต็ม: ____________________________
    จำนวนเงินที่ต้องการเป็นเงินกู้: ________________
    ระยะเครดิต: _________________________
    วัตถุประสงค์ของการกู้ยืม: ______________________
    วันเกิด: ___________________________
    เพศ: _______________________________
    สถานะการสมรส: __________________________
    ที่อยู่ติดต่อ: _______________________
    เมือง / รหัสไปรษณีย์: __________________________
    ประเทศ: _______________________________
    อาชีพ: ____________________________
    โทรศัพท์มือถือ: __________________________

    ส่งคำขอของคุณสำหรับการตอบกลับทันทีไปที่: pacificfinancialloanfirm@gmail.com

    ขอบคุณ

    ประธานเจ้าหน้าที่บริหารนางวิกตอเรียจอห์นสัน

    ตอบลบ